กระดูกสันหลังของเรา, ต้นไม้แห่งชีวิตของเรา!

« สภาพของกระดูกสันหลังของเรา เป็นตัวบ่งบอกอายุที่ดี »

กระดูกสันหลัง, ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นแกนกลางของร่างกายมนุษย์, สามารถเปรียบได้กับต้นไม้แห่งชีวิต
กระดูกสันหลังเปรียบเสมือนลำต้นของต้นไม้ที่ค้ำจุนกิ่งก้านของมัน มันมอบการสนับสนุนโครงสร้างที่สำคัญต่อร่างกาย ช่วยให้เรามีท่าทางที่ดีและการเคลื่อนไหวที่ราบรื่น กระดูกแต่ละข้อสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับวงปีของลำต้นต้นไม้ สร้างโครงสร้างที่แข็งแรงแต่ยืดหยุ่น ซึ่งสามารถปกป้องไขสันหลัง ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญสำหรับการส่งสัญญาณประสาทระหว่างสมองและส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย โครงสร้างนี้ไม่เพียงแค่ค้ำจุนร่างกายของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานของการเคลื่อนไหวและความมั่นคงของเราอีกด้วย

เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ต้องการการดูแลอย่างสม่ำเสมอเพื่อเติบโตและเจริญงอกงาม กระดูกสันหลังของเราก็ต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาสุขภาพและการทำงานที่ดี การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรักษาท่าทางที่ถูกต้อง และนิสัยการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการบาดเจ็บและอาการปวดหลัง ตัวอย่างเช่น การออกกำลังกายที่เสริมสร้างกล้ามเนื้อและการยืดเหยียดช่วยรักษาความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกระดูกสันหลัง ในขณะที่การรักษาท่าทางที่เหมาะสมช่วยลดความเครียดที่ไม่จำเป็นต่อกระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูก หากละเลยความต้องการเหล่านี้ อาจนำไปสู่ปัญหาเรื้อรัง เช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อนหรืออาการปวดหลังส่วนล่าง ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิต

การดูแลกระดูกสันหลังของเราจึงเป็นการรับประกันความเป็นอยู่ที่ดีของเราโดยรวม เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่แสดงถึงชีวิต ความแข็งแรง และความมั่นคง กระดูกสันหลังไม่ใช่แค่ชุดกระดูก แต่เป็นโครงสร้างที่สำคัญของร่างกาย ช่วยให้การสื่อสารระหว่างสมองกับอวัยวะอื่น ๆ ทำงานได้ดี สนับสนุนการเคลื่อนไหวของเรา และรักษาท่าทางของเรา กระดูกสันหลังที่มีสุขภาพดีสะท้อนถึงร่างกายที่สมดุล เช่นเดียวกับต้นไม้ที่เจริญงอกงามที่แสดงถึงระบบนิเวศที่กลมกลืน ดังนั้น การดูแลกระดูกสันหลังของเราอย่างดีจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความมีชีวิตชีวาและคุณภาพชีวิตของเรา

กล่าวโดยสรุป, เราไม่ควรหันหลังให้กระดูกสันหลังของเรา เพราะมันคือ « ต้นไม้แห่งชีวิต » ที่ผมไม่ลังเลที่จะเรียกมันว่า , « สร้อยไข่มุก » เช่นกัน’

ขอให้มีความสุขกับการอ่าน

กี บุชาร์ด

ผู้สอนพิลาทิส, หยินโยคะ, สมาธิแบบมีสติ (MPC) และการประสานจังหวะหัวใจ (CC)

ขอให้มีความสุขกับการอ่าน

Facebook:
https://www.facebook.com/guybouchardqc/
https://www.facebook.com/lelibrairedigital
https://www.facebook.com/pilatespourlavie/

ฉันจะมั่นใจได้อย่างไรว่าฉันฝึกการหายใจด้วยหน้าท้องได้อย่างถูกต้อง?

บทความนี้เป็นภาคต่อจากบทความก่อนหน้าในหัวข้อ: หายใจให้ดีขึ้นเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น: ประโยชน์ของการหายใจด้วยหน้าท้อง

เพื่อให้มั่นใจว่าคุณฝึกการหายใจด้วยหน้าท้องได้ถูกต้อง นี่คือวิธีง่ายๆ และมีประสิทธิภาพในการตรวจสอบ:

  1. เลือกท่าทางที่สบาย
    นอนราบบนหลังหรือเลือกนั่งในท่าที่หลังตรงและไหล่ผ่อนคลาย
  2. วางมือบนหน้าท้องเพื่อสัมผัสการเคลื่อนไหว
    วางมือข้างหนึ่งบนหน้าท้อง (บริเวณสะดือ)
    วางอีกข้างหนึ่งบนหน้าอก
  3. หายใจเข้าลึกๆ ทางจมูก
    ให้หน้าท้องพองตัวขึ้นอย่างอ่อนโยนเหมือนลูกโป่ง
    มือที่วางบนหน้าท้องควรขยับขึ้น ในขณะที่มือที่วางบนหน้าอกควรอยู่นิ่งหรือขยับเล็กน้อย
  4. หายใจออกช้าๆ ทางปาก
    ปล่อยให้หน้าท้องแฟบลงโดยการเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องเล็กน้อยเพื่อไล่อากาศออก
    มือที่วางบนหน้าท้องควรลดลง และมือที่วางบนหน้าอกไม่ควรขยับมากนัก
  5. ตรวจสอบจังหวะการหายใจ
    การหายใจเข้าควรเป็นไปอย่างช้าๆ ลึกๆ และสม่ำเสมอ
    การหายใจออกควรนานกว่าการหายใจเข้าเล็กน้อย
  6. ใช้กระจกหรือวิดีโอ
    หากต้องการตรวจสอบให้ละเอียดขึ้น ให้ถ่ายวิดีโอหรือดูตัวเองในกระจกเพื่อดูว่าหน้าท้องเคลื่อนไหวได้ดีและหน้าอกอยู่นิ่ง
  7. สังเกตความรู้สึก
    รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
    ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะที่คอและไหล่ ลดลง
    รู้สึกถึงความอุ่นหรือการได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่
  8. ทดสอบการหายใจขณะนอนราบ
    นอนราบและวางวัตถุเบาๆ (เช่น หนังสือเล่มบาง) บนหน้าท้อง
    เมื่อหายใจเข้า วัตถุควรยกขึ้น
    เมื่อหายใจออก วัตถุควรลดลงอย่างช้าๆ

หากคุณรู้สึกถึงผลลัพธ์เหล่านี้และเห็นการเคลื่อนไหวดังกล่าว แสดงว่าคุณฝึกการหายใจด้วยหน้าท้องได้อย่างถูกต้อง!

ขอให้เพลิดเพลินกับการอ่าน!

Guy Bouchard
นักธรรมชาติบำบัด (ND), ครูสอนพิลาทิสและ Yin Yoga,
ผู้เขียนหนังสือเอง, นักแปล และผู้ผลิตสารคดี

Facebook:
https://www.facebook.com/guybouchardqc/
https://www.facebook.com/lelibrairedigital/
https://www.facebook.com/pilatespourlavie/

หายใจดีขึ้นเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น : ประโยชน์ของการหายใจทางหน้าท้อง

การหายใจทางหน้าท้องเป็นสิ่งสำคัญด้วยหลายเหตุผล ทั้งในด้านสรีรวิทยา จิตใจ และอารมณ์ นี่คือเหตุผลที่ควรฝึกฝน:

  1. เพิ่มการให้ออกซิเจนแก่ร่างกาย
    การหายใจลึก ๆ โดยใช้หน้าท้องช่วยให้ปอดทำงานอย่างเต็มที่ ทำให้เลือดและอวัยวะได้รับออกซิเจนมากขึ้น ส่งผลให้พลังงานดีขึ้นและการทำงานของเซลล์มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  2. กระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก
    การหายใจแบบนี้ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายโดยกระตุ้นเส้นประสาทเวกัส ช่วยลดความเครียดและทำให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง นอกจากนี้ยังช่วยให้ร่างกายหลุดออกจากโหมด « สู้หรือหนี » และเข้าสู่สภาวะผ่อนคลายและฟื้นฟู
  3. ลดความเครียดและความวิตกกังวล
    การหายใจช้าลงและการใช้กะบังลมช่วยลดการผลิตคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) ส่งผลให้จิตใจสงบขึ้นและสามารถจัดการกับอารมณ์ได้ดีขึ้น
  4. ปรับปรุงบุคลิกภาพและลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ
    การหายใจตื้นโดยใช้หน้าอกอาจทำให้เกิดความตึงเครียดที่คอและไหล่ แต่การหายใจทางหน้าท้องช่วยให้ร่างกายอยู่ในท่าที่เป็นธรรมชาติและผ่อนคลายมากขึ้น
  5. ส่งเสริมระบบย่อยอาหารให้ดีขึ้น
    กะบังลมช่วยนวดอวัยวะภายในตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยกระตุ้นการย่อยอาหารและการทำงานของลำไส้
  6. เพิ่มความทนทานและสมรรถภาพทางกาย
    นักกีฬาและผู้ฝึกโยคะหรือพิลาทิสใช้การหายใจแบบนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแรง ลดความเหนื่อยล้าก่อนเวลา และเพิ่มสมาธิ
  7. เสริมสร้างกะบังลมและเพิ่มความสามารถของปอด
    การฝึกหายใจทางหน้าท้องเป็นประจำช่วยให้กะบังลมมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้ปอดรับอากาศได้มากขึ้นและร่างกายสามารถรับมือกับความเหนื่อยล้าได้ดีขึ้น
  8. ปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ
    การหายใจแบบนี้ช่วยให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะผ่อนคลายลึก ทำให้หลับง่ายขึ้นและช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
  9. ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
    ในช่วงเวลาที่เครียดหรือมีอารมณ์รุนแรง การหายใจทางหน้าท้องอย่างมีสติช่วยให้กลับมาสงบและตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ดีขึ้น
  10. เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและจิตใจ
    ในศาสตร์เช่นการทำสมาธิ ไทชิ หรือชี่กง การหายใจทางหน้าท้องช่วยให้มีสมาธิ พัฒนาสติ และสร้างสมดุลของพลังงานชีวิต

การนำเทคนิคการหายใจนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวม ลดความเครียด และเพิ่มประสิทธิภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ

ขอให้สนุกกับการอ่าน!

กี บุชาร์ด (Guy Bouchard), ND, ครูสอนพิลาทิส, นักเขียนอิสระ, นักแปล และนักเอกสาร

📌 Facebook: https://www.facebook.com/guybouchardqc/

(ติดตามบทความถัดไป: วิธีฝึกหายใจทางหน้าท้องให้ถูกต้องเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด?)

จิตวิทยาของเงิน

เผยแพร่เมื่อ 13 มีนาคม 2025

จิตวิทยาของเงินสำรวจทัศนคติ พฤติกรรม และความเชื่อของบุคคลต่อเงิน โดยเน้นให้เห็นว่า ประสบการณ์ อารมณ์ และการรับรู้ของเรา มีอิทธิพลต่อการจัดการทางการเงินและการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ นี่คือประเด็นสำคัญบางประการเพื่อให้เข้าใจศาสตร์นี้ได้ดีขึ้น:

1. อารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับเงิน

เงินมักเกี่ยวข้องกับอารมณ์ต่างๆ เช่น ความกลัว ความรู้สึกผิด ความภาคภูมิใจ หรืออำนาจ อารมณ์เหล่านี้สามารถส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินของเรา ไม่ว่าจะเป็นการออม การใช้จ่าย หรือการลงทุน

2. ความเชื่อและเงื่อนไขที่ถูกปลูกฝัง

ทัศนคติของเราต่อเงินมักถูกหล่อหลอมจากการเลี้ยงดู วัฒนธรรม และประสบการณ์ส่วนตัว ตัวอย่างเช่น คนที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ขาดแคลนอาจมีความเชื่อจำกัดเกี่ยวกับความสามารถในการสะสมความมั่งคั่ง

3. อคติทางปัญญา

จิตวิทยาของเงินแสดงให้เห็นถึงอคติต่างๆ เช่น:

ความรังเกียจการสูญเสีย : ความกลัวที่จะสูญเสียเงินมักรุนแรงกว่าความสุขจากการได้รับเงิน
อคติการยืนยัน : เรามักจะมองหาข้อมูลที่สนับสนุนความเชื่อทางการเงินที่มีอยู่ของเรา
การเลื่อนความพึงพอใจ : ผู้ที่สามารถเลื่อนความสุขทันทีเพื่อเก็บออมมักจะมีความสำเร็จทางการเงินมากกว่า

4. ความสัมพันธ์ระหว่างเงินกับความสุข

แม้ว่าเงินจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตโดยตอบสนองความต้องการพื้นฐาน แต่ผลกระทบของมันต่อความสุขมักลดลงเมื่อถึงระดับความสะดวกสบายที่เพียงพอ วิธีการใช้เงิน (เช่น ประสบการณ์ ความเอื้ออาทร การลงทุนในความสัมพันธ์) มีความสำคัญมากกว่าปริมาณเงินที่มี

5. พฤติกรรมทางการเงินที่ไร้เหตุผล

หลายคนตัดสินใจทางการเงินอย่างไม่มีเหตุผลเนื่องจากความเครียด แรงกดดันทางสังคม หรือการขาดความรู้ ตัวอย่างเช่น การใช้จ่ายแบบไม่คิด การก่อหนี้เกินตัว หรือการหลีกเลี่ยงปัญหาการเงิน

6. การศึกษาเรื่องการเงินและการจัดการอารมณ์

การเข้าใจอารมณ์และความเชื่อของตัวเองเกี่ยวกับเงินเป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีต่อเงิน การศึกษาทางการเงินมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างรอบคอบและควบคุมพฤติกรรมทางการเงินได้ดีขึ้น

คุณต้องการเจาะลึกประเด็นใดเป็นพิเศษ หรือสำรวจกลยุทธ์เชิงปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาของเงินหรือไม่?

กี บูชาร์ด (Guy Bouchard), ND, ครูสอนพิลาทิส, นักเขียนอิสระ, นักแปล และนักเอกสารศาสตร์

Facebook: https://www.facebook.com/guybouchardqc/

กับดักของสภาวะที่เป็นอยู่ : ทำไมความหยุดนิ่งจึงเป็นทางตัน

Cette image a un attribut alt vide ; le nom du fichier est image-1.png

ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเราจะต้องการหรือไม่ก็ตาม ร่างกายแก่ลง จิตใจปรับตัว โลกเดินหน้า การเชื่อว่าเราสามารถหยุดเวลาได้เป็นเพียงภาพลวงตา การปฏิเสธที่จะพัฒนา คือการต่อต้านกระแสอันทรงพลัง เหมือนพยายามหยุดแม่น้ำด้วยมือเปล่า แต่หลายคนกลับเลือกที่จะอยู่นิ่งเพราะความกลัว เพราะความสะดวกสบาย หรือเพราะความเคยชิน โดยไม่ตระหนักว่าการไม่ทำอะไรเลย แท้จริงแล้วเป็นการถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

ภาพลวงตาของการควบคุม เราชอบคิดว่าเราควบคุมสิ่งแวดล้อมของเราได้ ว่าเสถียรภาพของเราเกิดจากการเลือกของเราเอง แต่เสถียรภาพนั้นไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงโครงสร้างทางจิตที่ทำให้เรารู้สึกมั่นคง ทำให้เรารู้สึกว่าควบคุมชีวิตของเราได้ แต่ในความเป็นจริง จักรวาลไม่เคยหยุดนิ่ง เทคโนโลยีก้าวหน้า ความสัมพันธ์เปลี่ยนแปลง ความคิดของเราเองก็เปลี่ยนไป การยึดติดกับนิสัยเดิม ๆ ก็เหมือนการเกาะภาพที่ซีดจางของอดีตที่ไม่มีอยู่อีกแล้ว

การเสื่อมสภาพที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสภาวะที่เป็นอยู่ เมื่อเราปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ชีวิตที่หยุดนิ่ง แต่เราเองที่กลายเป็นเพียงผู้เฝ้าดู กล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งานจะฝ่อไป ทักษะที่ไม่ถูกฝึกฝนจะสูญหาย ความสัมพันธ์ที่ถูกละเลยจะจืดจาง การหยุดนิ่งนำไปสู่การเสื่อมถอยอย่างช้า ๆ ในทางกลับกัน เพียงแค่ลงมือทำ แม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถสร้างพลังที่ผลักดันให้เกิดการเติบโตได้

ความสบาย: กับดักที่แยบยล เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เราหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลง คือความต้องการความสบาย เราปรารถนาความปลอดภัย ความคาดเดาได้ และการควบคุมชีวิตของเรา แต่ความสบายนี้มักเป็นภาพลวงตาที่กักขังเราเอาไว้ สิ่งที่เราคิดว่าเป็นเสถียรภาพ บางครั้งอาจเป็นคุกที่มองไม่เห็น การอยู่แต่ในเขตสบายของตนเอง คือการปิดกั้นโอกาสของตนเอง การปฏิเสธที่จะสำรวจสิ่งใหม่ ๆ คือการดับศักยภาพของตนเองโดยไม่รู้ตัว

คำเชิญชวนสู่การเคลื่อนไหว การยอมรับการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้หมายความว่าเราต้องกระโจนเข้าสู่สิ่งที่ไม่รู้โดยไม่มีการไตร่ตรอง แต่มันคือการเปิดใจ เปิดรับความอยากรู้อยากเห็น และเติบโตอย่างต่อเนื่อง ก้าวไปข้างหน้าเพียงเล็กน้อย สร้างนิสัยใหม่ ๆ ลองแนวคิดที่แตกต่างออกไปในแต่ละวัน ทั้งหมดนี้คือหนทางที่จะทำลายความเฉื่อยชา และเปิดรับพลังแห่งชีวิต เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ความเสี่ยงที่แท้จริงไม่ใช่การก้าวไปข้างหน้า แต่คือการหยุดนิ่ง

กี บุชาร์ด, ND ผู้สอนพิลาทิส, นักเขียนอิสระ, นักแปล และนักเอกสารศาสตร์

Facebook: https://www.facebook.com/guybouchardqc/

ทำไมฉันควรฝึกหยินโยคะ?

หยินโยคะเป็นแนวทางที่เป็นเอกลักษณ์และช่วยเสริมรูปแบบโยคะและการออกกำลังกายที่มีความเคลื่อนไหวมากขึ้น นี่คือเหตุผลที่น่าสนใจที่ควรรวมหยินโยคะไว้ในกิจวัตรของคุณ :

1. การยืดเหยียดอย่างลึกและยาวนาน
หยินโยคะเน้นไปที่เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (พังผืด เอ็น ข้อต่อ) โดยใช้ท่าที่ค้างไว้นานหลายนาที ทำให้เกิดการคลายตัวที่ลึกและยั่งยืน

2. เพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย
การคงอยู่ในท่านานขึ้นช่วยเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ร่างกายยืดหยุ่นและผ่อนคลายมากขึ้น

3. ลดความเครียดและความวิตกกังวล
การฝึกหยินโยคะช่วยให้เกิดภาวะสมาธิ สงบระบบประสาท และลดความเครียดทางจิตใจและอารมณ์

4. กระตุ้นพลังชีวิต (ชี่/ปราณา)
หยินโยคะทำงานกับเส้นพลังงานของร่างกายตามหลักการแพทย์แผนจีน ช่วยปรับสมดุลและกระตุ้นพลังชีวิต ส่งเสริมสุขภาพโดยรวม

5. กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
การยืดเหยียดเป็นเวลานานช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด โดยเฉพาะบริเวณข้อต่อและเนื้อเยื่อที่มักถูกละเลยจากการออกกำลังกายประเภทอื่น

6. สมดุลที่สมบูรณ์แบบสำหรับกิจกรรมที่ใช้พลังงานสูง
ไม่ว่าคุณจะเล่นกีฬาหนัก ฝึกพิลาทิส หรือโยคะวินยาสะ หยินโยคะช่วยสร้างสมดุลให้ร่างกายจากการออกกำลังกายที่หนักและเข้มข้น

7. พัฒนาความอดทนและสติปัญญา
การคงอยู่ในท่านานช่วยพัฒนาความอดทน การยอมรับ และการมีสติอยู่กับปัจจุบัน ส่งเสริมการพินิจพิจารณาตนเอง

8. บรรเทาความตึงเครียดเรื้อรัง
เหมาะสำหรับการคลายความตึงเครียดที่สะสมบริเวณสะโพก หลังส่วนล่าง ไหล่ และส่วนอื่น ๆ ที่มักเกิดอาการแข็งตึง

9. ช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น
การผ่อนคลายลึกที่เกิดจากหยินโยคะช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนและทำให้ง่ายต่อการหลับลึก

10. เหมาะสำหรับทุกคน
หยินโยคะมีจังหวะที่ช้าและอ่อนโยน ทำให้สามารถฝึกได้ทุกคน ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ อยู่ในสภาพร่างกายแบบไหน หรือมีประสบการณ์โยคะมากน้อยเพียงใด

สรุป: หยินโยคะเป็นทางออกที่สมบูรณ์แบบสำหรับชีวิตที่เร่งรีบในปัจจุบัน หากคุณกำลังมองหาการฝึกที่อ่อนโยนแต่ทรงพลังเพื่อผ่อนคลายร่างกาย ทำให้จิตใจสงบ และเพิ่มความยืดหยุ่น หยินโยคะเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม

กี บูชาร์ด, ND
ผู้สอนพิลาทิส, นักเขียนอิสระ, นักแปล และนักเอกสาร

ใช้ชีวิตให้นานที่สุด… และมีสุขภาพที่ดี

การมีอายุยืนยาวและมีสุขภาพดีไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ นอกเหนือจากพันธุกรรมแล้ว นิสัยประจำวันของเราต่างหากที่เป็นตัวกำหนดความเป็นอยู่ที่ดีและพลังชีวิตของเรา ต่อไปนี้คือเสาหลักสำคัญของการมีชีวิตที่ยืนยาวและเติมเต็ม

1. การรับประทานอาหารที่ดีและสมดุล

อาหารมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพของเรา การบริโภคอาหารที่มาจากธรรมชาติ อุดมไปด้วยสารอาหาร และหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปเป็นสิ่งจำเป็น ผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด ถั่ว และพืชตระกูลถั่ว ควรเป็นส่วนสำคัญของมื้ออาหาร ไขมันดี เช่น ไขมันจากปลาที่มีไขมันสูงและน้ำมันมะกอก ช่วยปกป้องหัวใจ นอกจากนี้ การอดอาหารเป็นช่วงๆ (Intermittent Fasting) ยังช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้อีกด้วย สุดท้าย อย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอ และลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและแอลกอฮอล์

2. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและเหมาะสม

การเคลื่อนไหวในแต่ละวันเป็นสิ่งจำเป็นต่อพลังชีวิต การเดินเร็ว การว่ายน้ำ หรือการปั่นจักรยาน แม้เพียงช่วงสั้นๆ ก็ช่วยเสริมสร้างหัวใจและปอด การฝึกกล้ามเนื้อ เช่น การยกน้ำหนักหรือพิลาทิส ช่วยรักษาความแข็งแรงและความทนทาน สำหรับความยืดหยุ่นและสมดุล โยคะหรือการยืดกล้ามเนื้อ (Stretching) เป็นตัวเลือกที่ดี สิ่งสำคัญคือการเลือกกิจกรรมที่ชอบและทำอย่างสม่ำเสมอ

3. การจัดการความเครียดและการนอนหลับที่มีคุณภาพ

สุขภาพจิตมีความสำคัญพอๆ กับสุขภาพร่างกาย การเรียนรู้วิธีจัดการความเครียดผ่านการทำสมาธิ การหายใจอย่างมีสติ หรือการฝึกสติ (Mindfulness) สามารถช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้ การนอนหลับก็มีบทบาทสำคัญ ควรนอนวันละ 7-9 ชั่วโมง และสร้างกิจวัตรก่อนนอนในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบเพื่อให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่

4. ความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีและจริงใจ

ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นแหล่งพลังงานที่มีค่า การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีและจริงใจกับครอบครัวและเพื่อนช่วยลดความโดดเดี่ยวและส่งเสริมอายุที่ยืนยาว การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม เช่น การทำจิตอาสาหรือเข้าร่วมชมรมต่างๆ ช่วยสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน การหัวเราะ การแบ่งปัน และการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นยาวิเศษทางใจโดยธรรมชาติ

5. การกระตุ้นสมองอย่างต่อเนื่อง

สมองก็ต้องการการฝึกฝนเช่นเดียวกับกล้ามเนื้อ การอ่าน การเขียน การแก้ปริศนาตรรกะ หรือการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ช่วยเสริมสร้างความจำและสมาธิ การเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และทำกิจกรรมที่ท้าทายสติปัญญาจะช่วยป้องกันโรคทางสมอง เช่น อัลไซเมอร์

6. สภาพแวดล้อมที่ดีและเป็นธรรมชาติ

การใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ดีช่วยเสริมสร้างสุขภาพ การใช้เวลาอยู่กลางแจ้ง ท่ามกลางธรรมชาติ ช่วยลดความเครียดและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การหายใจรับอากาศบริสุทธิ์ หลีกเลี่ยงสารมลพิษ และรับแสงแดดในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินดีเป็นสิ่งสำคัญ

7. การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

สุดท้าย การเฝ้าระวังสุขภาพผ่านการตรวจร่างกายเป็นประจำเป็นนิสัยที่ดี การควบคุมความดันโลหิต ระดับคอเลสเตอรอล และระดับน้ำตาลในเลือดช่วยให้สามารถตรวจพบปัญหาสุขภาพตั้งแต่เนิ่นๆ นอกจากนี้ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำด้านวัคซีนและการตรวจคัดกรองตามช่วงอายุ

การมีสุขภาพดีและแข็งแรงขึ้นอยู่กับความสมดุลระหว่างร่างกาย จิตใจ และความสัมพันธ์ทางสังคม นี่ไม่ใช่ความลับ แต่เป็นแนวทางง่ายๆ ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เมื่อนำหลักการเหล่านี้ไปใช้และทำอย่างสม่ำเสมอ จะเป็นก้าวสำคัญสู่ชีวิตที่ยืนยาวและเติมเต็ม

กี บุชาร์ด, ND, ครูสอนพิลาทิส, นักเขียนอิสระ, นักแปล และบรรณารักษ์

ทำไมฉันถึงต้องเล่นพิลาทิส?

พิลาทิสมีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัยใดหรือมีระดับความฟิตแบบไหน นี่คือเหตุผลดีๆ ที่ควรรวมพิลาทิสไว้ในกิจวัตรของคุณ:

1. เสริมสร้างกล้ามเนื้อลึก
พิลาทิสเน้นบริหารกล้ามเนื้อลึก โดยเฉพาะบริเวณแกนกลางลำตัว เช่น กล้ามเนื้อหน้าท้อง หลัง และอุ้งเชิงกราน ซึ่งมีความสำคัญต่อการรักษาท่าทางที่ดีและช่วยป้องกันอาการปวด โดยเฉพาะบริเวณหลังส่วนล่าง

2. ปรับปรุงบุคลิกภาพและท่าทาง
พิลาทิสช่วยปรับสมดุลกล้ามเนื้อและปรับแนวร่างกายให้ถูกต้อง ลดปัญหาท่าทางไม่ดีที่เกิดจากการนั่งทำงานหรือจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน

3. เพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย
ด้วยการเคลื่อนไหวที่เป็นจังหวะและควบคุมได้ พิลาทิสช่วยยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายมีความยืดหยุ่นและเคลื่อนไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. ลดความเครียด
พิลาทิสเน้นสมาธิและการหายใจอย่างมีสติ ซึ่งช่วยให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย และมีผลคล้ายกับการทำสมาธิ

5. ป้องกันการบาดเจ็บ
การฝึกพิลาทิสช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่พยุงร่างกายและพัฒนาการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อ ซึ่งลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ โดยเฉพาะเวลาทำกิจกรรมอื่นๆ

6. เหมาะกับทุกคน
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือเป็นนักกีฬามืออาชีพ พิลาทิสสามารถปรับให้เหมาะสมกับระดับความสามารถของคุณได้ ด้วยการออกแบบท่าฝึกที่ยืดหยุ่นและพัฒนาได้อย่างเป็นขั้นตอน

7. พัฒนาสมดุลและการประสานงานของร่างกาย
พิลาทิสช่วยให้ร่างกายทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น โดยเน้นการออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อหลายส่วนพร้อมกัน

8. เป็นการออกกำลังกายที่เสริมกับกีฬาอื่นๆ
นักกีฬาหลายประเภทใช้พิลาทิสเป็นการฝึกเสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง ว่ายน้ำ เต้นรำ หรือกอล์ฟ

9. กระชับกล้ามเนื้อโดยไม่เพิ่มขนาดมากเกินไป
พิลาทิสช่วยกระชับและปรับรูปร่างกล้ามเนื้อให้สมส่วน โดยไม่ทำให้กล้ามเนื้อโตเกินไป

10. ส่งเสริมสุขภาพจิต
เช่นเดียวกับโยคะ พิลาทิสต้องการความใส่ใจในทุกการเคลื่อนไหว ช่วยเพิ่มสมาธิ และทำให้จิตใจสงบขึ้น

สรุป:
พิลาทิสไม่ใช่แค่การออกกำลังกาย แต่เป็นแนวทางการดูแลร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์แบบ ช่วยให้คุณเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น หายใจได้ลึกขึ้น และใช้ชีวิตได้อย่างสมดุล หากคุณกำลังมองหากิจกรรมที่อ่อนโยนแต่มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างร่างกายและทำให้จิตใจสงบ พิลาทิสเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม

Guy Bouchard, ND, อาจารย์สอนพิลาทิส ผู้จัดพิมพ์เอง นักแปล และนักทำสารคดี

เฟสบุ๊ก : https://www.facebook.com/guybouchardqc/